HR Trends 2022 กับ 3สิ่งที่ต้องมีมากกว่าเดิม

2620 Views  | 


HR Trends 2022 กับ 3สิ่งที่ต้องมีมากกว่าเดิม

HR Trends 2022 กับ 3สิ่งที่ต้องมีมากกว่าเดิม

     จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นระยะเวลาเกือบ2ปีเต็ม ที่ทำให้ วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป เราถูกบังคับให้เข้าสู่ Surviving Mode ร่วมกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน เพื่อพยุงรักษาองค์กรให้อยู่รอดไปด้วยกัน

     สำหรับในปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง เป็นปีที่ที่เราอยู่ร่วมกับวิกฤติมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง การทำงานบางอย่างอาจกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่บางอย่างอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทำให้แนวโน้มของการให้ความสำคัญกับ Human Capital  หรือต้นทุนมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าจับตามองมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ HR จำเป็นต้องมีความเข้าใจ และ เตรียมตัวพัฒนาในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • มากกว่าการ Work from home คือ Hybrid Working

         ในปีที่ผ่านมา เราต่างได้เรียนรู้ และสรรหาวิธีการต่างๆ เพื่อให้เราสามารถ Work from home กันได้อย่างราบรื่น อันจะเห็นได้จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ออกมารองรับ เช่น Zoom ที่เราใช้กันอย่างแพร่หลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวคิดของคนทำงานเปลี่ยนไป เมื่อคนส่วนใหญ่เล็งเห็นแล้วว่า เราสามารถทำงานได้แม้ไม่ต้องเข้า Office และ อาจจะไม่ใช่แค่ที่บ้านด้วยเช่นกัน จึงเกิดเป็นรูปแบบการทำงานในปัจจุบัน ที่เรียกกันว่า Hybrid Working

         Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากออฟฟิศ จากที่บ้าน หรือจากที่ไหนก็ได้ (Remote Working) แทนที่การทำงานจะอยู่ในออฟฟิศเพียงแห่งเดียว หรือเฝ้าหน้าจออยู่ที่บ้าน แต่ให้อิสระกับพนักงานได้มีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น และเกิด Productivity สูงที่สุดภายใต้ นโยบาย Flexible Working Policy

         ถือเป็นความท้าทายแรกของ HR ในการที่จะต้องสำรวจรูปแบบการทำงานขององค์กร และความต้องการของบุคลากรว่ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด รวมทั้งพยายามศึกษา และ ผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เข้ามารองรับการทำงานในรูปแบบนี้ให้ได้มากขึ้น ซึ่งวิธีนี้อาจจะเป็นหนทางที่ช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนต่างๆ ในสำนักงาน และ เป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ (Attract New Talent) ให้อยากเข้ามาร่วมงานกับองค์กรที่มีระบบการทำงานที่ทันสมัย ถ้าเทียบกับองค์กรที่ต้องเข้า Office ทุกวัน ก็ย่อมเป็นที่น่าสนใจกว่าอย่างแน่นอน

  • มากกว่า Work Life Balance คือ Well-Being Design

         Work Life Balance เป็นสิ่งที่ถูกพูดกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งคนที่ทำได้และทำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตจริงในปัจจุบันเราอาจจะไม่สามารถแบ่งงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันอย่างสิ้นเชิงได้อีกต่อไป ประสบการณ์จากการ Work from home มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เราได้เรียนรู้แล้วว่า การทำงานกับการใช้ชีวิต จำเป็นต้องได้รับการออกแบบให้สามารถเดินคู่กันไปได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการทำงานเป็นรูปแบบ Hybrid Working

         Well-Being Design อาจเป็นสิ่งที่ HR ต้องใช้ความสามารถมากขึ้นในการออกแบบระบบการทำงานใหม่ รวมทั้งเป็นกระบอกเสียงแทนพนักงาน ไปยังผู้บริหารให้เข้าใจ เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรไปในทิศทางที่ทันสมัย และเข้าใจในตัวบุคลากรมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ให้พนักงานมีอิสระมากขึ้น หรือ การจัดสวัสดิการที่ยืดหยุ่นและทันสมัย (Flexible Benefit ) เพื่อสร้างสมดุลให้กับทุกคน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้พนักงานสามารถมีชีวิตการทำงาน ควบคู่ไปกับรูปแบบชีวิตที่ดีขึ้นได้ อันจะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

  • เพิ่มกลยุทธ์ลดความขัดแย้งในองค์กร ที่เกิดจากรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

         เมื่อการทำงานใน Office ลดน้อยลง การสื่อสารในรูปแบบของ Text  หรือ Chat ย่อมมีมากขึ้น จนปัจจุบันเกือบจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการทำงานไปเรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่พูดคุยกันแบบเห็นหน้า สามารถเข้าใจอารมณ์ จากน้ำเสียงและท่าทาง ตีความได้ง่าย เมื่อต้องปรับเปลี่ยนมาสื่อสารผ่านตัวอักษรมากขึ้น จึงอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ทั้งจากความไม่ชัดเจน การตีความคลาดเคลื่อน รวมไปถึงปัญหาในการทำงานอื่นๆเช่น ส่งไฟล์ผิดพลาด ความลับรั่วไหล หรือ ข้อมูลสูญหาย สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งในองค์กรได้ทั้งในระดับเล็ก ไปจนถึงระดับที่ทำให้องค์กรสั่นคลอนได้เลยทีเดียว

         ดังนั้น จึงเป็นอีกโจทย์ที่ HR รุ่นใหม่ต้องไม่เมินเฉย และต้องเตรียมคิดกลยุทธ์ในลดความขัดแย้ง หรือบรรเทาปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งหากสามารถทำความเข้าใจกันก่อนที่จะเกิดปัญหา ก็อาจจะช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างระมัดระวัง มีความเข้าใจตรงกัน และทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุขได้มากขึ้น

     ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ท้าทายความสามารถของ HR รุ่นใหม่ ที่จะช่วยสามารถพัฒนาองค์กร และคุณภาพชีวิตของคนทำงานได้ ไปพร้อมๆกัน ดังนั้นภาพรวมของงานHR ในปี 2022 อาจจะมีบทบาทใหม่ที่สำคัญคือ ต้องมีความสามารถในการช่วยองค์กรคิดหรือออกแบบวิธีการทำงานใหม่ๆ เพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์ และช่วยให้องค์กรกลับมาเติบโต และเริ่มต้นหลังหมดวิกฤตได้อย่างสวยงามต่อไป

Powered by MakeWebEasy.com
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy